เป็นหวัดกินยาแก้อักเสบดีหรือไม่?

by kadocom @17-11-57 09.16 ( IP : 1...18 ) | Tags : มุมวิชาการ
photo  , 500x333 pixel , 35,338 bytes.

หลายคนที่เป็นหวัดหรือมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน การกินยาแก้อักเสบทันที อาจจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง


          รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน สาขาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายว่า การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ได้แก่ โรคจมูกอักเสบ หรือที่มักเรียกว่า หวัด ทำให้มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดหรือมึนศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล


        โรคไซนัสอักเสบ ทำให้มีไข้ คัดจมูก น้ำมูก หรือเสมหะมีสีเหลือง หรือเขียวข้นตลอด ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น อ่อนเพลีย ไอ ปวดศีรษะ ปวดจมูก โหนกแก้ม รอบตา หรือหน้าผาก


        โรคหูชั้นกลางอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดหู หูอื้อ อาจมีหนองไหลออกมาจากหู มีเสียงดังในหู อาจมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุนได้ในผู้ป่วยบางราย


        โรคคอ หรือต่อมทอนซิลอักเสบ ทำให้มีไข้ เจ็บคอ กลืนอาหาร หรือกลืนน้ำลายแล้วเจ็บ หรือติดขัด


        โรคสายเสียง หรือกล่องเสียงอักเสบ ทำให้ไอ ระคายคอ มีเสียงแหบแห้ง


        โรคหลอดลมอักเสบ ทำให้ไอ มีเสมหะ เจ็บหน้าอก และโรคปอดอักเสบ หรือปอดบวม ทำให้มีไข้ ไอ หอบ


        เมื่อผู้ป่วยมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหาย ใจ มักจะซื้อยาแก้อักเสบกินเอง หรือเภสัชกรที่ร้านขายยาเป็นผู้จ่ายยาให้ แพทย์เองก็จ่ายยาแก้อักเสบให้ แม้จะไม่มีตัวเลขที่แน่นอนเกี่ยวกับการจ่ายยาแก้อักเสบให้คนไข้ที่เป็นหวัด แต่คาดว่าน่าจะเกิน 80% เพราะแพทย์หู คอ จมูก ในโรงพยาบาลก็มีการจ่ายยาตัวนี้ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดและแก้ยาก ถ้าต้องแก้ควรแก้ที่ระดับนโยบาย ไม่ควรให้ผู้ป่วยซื้อกินเอง ควรอยู่ในวิจารณญาณของแพทย์ แต่บางครั้งแพทย์จ่ายยาให้เพราะตัดความรำคาญ ส่วนคนไข้ก็ไม่ยอมคิดว่าต้องกินยาแก้อักเสบจึงจะหาย ถ้าไม่แก้ไขตรงนี้ต่อไปเวลาเจ็บป่วยกินยาคงไม่หาย เพราะเกิดภาวะดื้อยา


        ความจริงสาเหตุส่วนใหญ่ของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ มักเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่ต้องกินยาแก้อักเสบ เมื่อผู้ป่วยมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เป็นมาไม่เกิน 7-10 วัน ส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง ถ้าปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง เหมาะสม แต่ถ้ามีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจมานานเกิน 7-10 วัน หรือมีหลักฐานที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจ การกินยาแก้อักเสบจึงสมเหตุสมผล


        มีความเชื่อที่ผิดว่า ถ้าน้ำมูกหรือเสมหะมีสีเหลือง หรือสีเขียว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแน่นอน ต้องกินยาแก้อักเสบจึงจะหาย ความจริงแล้ว การที่น้ำมูกหรือเสมหะค้างอยู่ในจมูก หรือหลอดลมนาน ๆ ก็อาจเป็นสีเหลือง หรือเขียวได้ ดังนั้นประวัติที่ได้จากผู้ป่วยว่า น้ำมูกหรือเสมหะมีสีเหลือง หรือสีเขียวไม่ได้บ่งบอกว่าผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรีย และต้องกินยาแก้อักเสบเสมอไป


      การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ จะหายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้ป่วย ปฏิบัติตัวได้เหมาะสมหรือถูกต้องหรือไม่ คือ สามารถหลีกเลี่ยงเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่ำลงจนไวรัสเล่นงานหรือไม่ โดยสาเหตุหลัก คือ เครียด นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ โดนอะไรเย็น แอร์ พัดลมเป่า ดื่มน้ำเย็น อาบน้ำดึก หรือไปสัมผัสกับคนไม่สบาย ดังนั้นต้องรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สบาย


      สำหรับการรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ เช่น ถ้าเป็นไม่มาก อาจจะไม่ต้องใช้ยาอะไรเลย ปวดศีรษะนิดหน่อยทานยาพารา มีน้ำมูกอาจล้างจมูกหรือ ทานยาแก้แพ้ เจ็บคอก็อมยาแก้เจ็บคอ หรือใช้พ่นคอ ถ้าเป็นมากค่อยมาพบแพทย์


      ท้ายนี้คงต้องขึ้นอยู่กับผู้ป่วยซึ่งควรตระหนักว่าไม่ควรใช้ยาแก้อักเสบเวลาเป็นหวัด เพราะสาเหตุมักจะเกิดจากเชื้อไวรัส แต่เมื่อแนะนำไปแล้วยังคงใช้ยาแก้อักเสบพร่ำเพื่ออาจทำให้เกิดการดื้อยาแล้วจะหาว่าไม่เตือน



      ที่มา : เว็บไซต์เดลินิวส์

      ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

http://www.thaihealth.or.th/Content/26411-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88.html

นายแพทย์ธวัช ลาพินี ผู้อำนวยการโรงพยาบาล